วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

โรงงาน HDPE ระเบิดที่ Pasadena เมื่อ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๓๒ MO Memoir : Tuesday 24 September 2556

เมื่อตอนต้นเดือนที่ผ่านมามีนิสิตมาขอให้ช่วยอธิบายเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์โรงงานผลิต HDPE ของบริษัท Phillips ระเบิดที่เมือง Pasadena รัฐ Texas ประเทศสหรัฐอเมริกาในวันจันทร์ที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๒ (ค.ศ. ๑๙๘๙) 
   
ปัญหาของพวกเขาไม่ได้อยู่ตรงที่ไม่เข้าใจไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ แต่อยู่ตรงที่ศัพท์แต่ละคำที่ปรากฎในเอกสารนั้นมันหมายถึงอะไร และอุปกรณ์ที่มีการกล่าวถึงนั้นทำหน้าที่อะไร เพราะจะว่าไปแล้วเอกสารที่เขาได้มานั้นถ้าเป็นคนที่อยู่ในวงการแล้วก็จะเข้าใจได้ว่าเขากำลังกล่าวถึงอะไรอยู่ แต่ถ้าอยู่นอกวงการหรือไม่เคยเห็นของจริงมาก่อน (เช่นกลุ่มนิสิตเหล่านั้น) ก็คงจะอ่านไม่รู้เรื่อง
  
Memoir ฉบับนี้ก็เลยถือโอกาสเขาข้อมูลที่ผมมีอยู่ ซึ่งนำมาจากบทความตีพิมพ์ในวารสาร Loss prevention bulletin ฉบับที่ 97 มาอธิบายให้ฟัง บทความนี้เป็นบทสรุปของรายงานจัดทำโดยที่ส่งให้กับทางประธานธิบดีของสหรัฐอเมริกาในเดือนเมษายน ค.ศ. ๑๙๙๐ (พ.ศ. ๒๕๓๓) ผมได้สแกนบทความดังกล่าวแนบท้าย memoir ฉบับนี้มาด้วยแล้ว

ก่อนอื่นเราลองไปดูภาพความเสียหายของเหตุการณ์ก่อน รูปที่ ๑ เป็นรูปที่ผมนำเอามาจากหน้าปกหนังสือ "Electrical and instrumentation safety for chemical processes" ที่นำรูประหว่างเพลิงกำลังลุกไหม้โรงงานดังกล่าว ส่วนรูปที่ ๒ เป็นรูปที่ขยายจากกรอบเล็กของรูปที่ ๑
  
ต่อไปจะเข้าสู่เนื้อหาของบทความ โดยจะอธิบายเฉพาะส่วนที่สำคัญ ย่อหน้าสีน้ำตาลคือส่วนขยายความที่ผมเขียนเพิ่มเติมเพื่ออธิบาย

ตัวโรงงาน (The Plant ในกรอบสีแดง)

โรงงานนี้เป็นโรงงานผลิตพอลิเอทิลีนความหนาแน่นสูง (High density polyethylene - HDPE) ในเครื่องปฏิกรณ์ (reactor) ชนิดที่ทางวิศวกรรมเคมีเรียกว่า "plug flow reactor" หรือที่บทความกล่าวเป็นภาษาง่าย ๆ ให้คนทั่วไปเข้าใจได้คือเป็นท่อยาว ส่วนของตัวเครื่องปฏิกรณ์ผมคาดว่าคือส่วนที่อยู่ในกรอบสีเหลืองในรูปที่ ๒ ที่เห็นเป็นท่อขดตั้งเป็นวงขึ้นมาสูงจำนวน 4 วง ปฏิกิริยาเกิดที่อุณหภูมิและความดันสูงกว่าบรรยากาศปรกติ (เขาใช้คำว่า "under elevated pressure and temperature") โดยให้เอทิลีน (ethylene - H2C=CH2) ละลายอยู่ใน isobutane ที่ใช้เป็นตัวทำละลาย
  
ตรงนี้ต้องระลึกเอาไว้ว่า ที่อุณหภูมิห้องและความดันบรรยากาศนั้น isobutane (H3C-CH(CH3)-CH3) มีสถานะเป็นแก๊สที่หนักกว่าอากาศ แต่ถ้าอยู่ภายใต้ความดันที่มากพอ isobutane ก็จะเป็นของเหลวได้ แม้ว่าอุณหภูมิจะสูงกว่าอุณหภูมิห้อง และเนื่องจาก isobutane นั้นเป็นไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัว มันจึงไม่เข้าไปยุ่งอะไรกับการทำปฏิกิริยา หน้าที่ของมันมีเพียงแค่เป็นตัวทำละลายและเป็นแหล่งรับความร้อนจากปฏิกิริยาพอลิเมอร์ไรซ์ที่เกิด
  
เมื่อเอทิลีนเกิดการต่อโมเลกุลเข้าด้วยกันเป็นโมเลกุลใหญ่ขึ้น มันก็จะกลายเป็นผงของแข็งแขวนลอยอยู่ใน isobutane ที่ใช้เป็นตัวทำละลายนั้น
  
การนำเอาผงพอลิเมอร์ออกจาก reactor นั้นใช้การระบายออกทางท่อที่อยู่ทางด้านล่าง (ในบทความเรียกสั้น ๆ ว่า "leg" ที่แสดงในรูป 9.1 ของบทความ) ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 6 ท่อ (กล่าวไว้ในส่วน The accident)
 
ท่อระบายพอลิเมอร์นี้ด้านที่ติดกับ reactor เป็น ball valve ยี่ห้อ Demco เปิด-ปิดด้วยระบบนิวเมติกส์ (ใช้อากาศอัดความดัน ไม่ได้ใช้มือหมุน) และที่ปลายอีกด้านหนึ่งก็มีวาล์วอีกตัวหนึ่งที่มีขนาดเล็กกว่า (บทความไม่ได้ให้รายละเอียดใด) การที่ต้องมีวาล์วคุมสองด้านก็เพราะท่อนี้มีโอกาสอุดตันจากผงพอลิเมอร์ ถ้าท่อใดท่อหนึ่งอุดตัน ก็จะไปใช้ท่ออื่นแทน ส่วนพนักงานก็จะทำการเอาสิ่งที่อุดตันออก

เนื้อหาในสองย่อหน้านี้บทความไม่ได้กล่าวไว้ แต่ผมดูจากแบบและเนื้อหาในส่วนอื่นแล้วคาดว่าในการนำสิ่งที่อุดตันออกนั้น พนักงานต้องทำการปิด ball valve ตัวบน (ที่เรียกว่า Demco valve ตามยี่ห้อวาล์ว) และวาล์วตัวล่าง (ที่เรียกว่า product take off valve) และปิดไม่ให้มีเอทิลีนไหลเข้าทาง ethylene line (ท่อนี้ผมไม่แน่ใจว่าใช้เพื่ออะไร - ช่วยดันผงพอลิเมอร์ให้ออกจากท่อ?) กระบวนการนี้ในบ้านเราเรียกว่าการ "isolate ระบบ" จากนั้นต้องทำการ "ถอด" ท่ออากาศที่ใช้ในการเปิด-ปิดวาล์วตัวบนออก เพื่อไม่ให้ ball valve ตัวบนถูกเปิดในขณะที่ทำการถอดท่อระบาย เมื่อทำการปิดวาล์วแล้วก็ต้องทำการระบายความดันที่ค้างอยู่ในท่อด้วยการเปิด vent (purge) valve สองตัว โดยตัวหนึ่งอยู่ใต้ ball valve และอีกตัวหนึ่งอยู่เหนือ product take off valve การที่ต้องมี vent valve ไว้ที่สองตำแหน่งนี้คาดว่าเป็นเพราะถ้ามีการอุดตันเกิดขึ้นระหว่างกลาง จะได้ไม่มีความดันแก๊สคงค้างที่ปลายข้างใดข้างหนึ่ง จากนั้นจึงค่อยทำการถอดท่อส่วนที่อุดตันออก
  
ท่อส่วนต่ำว่าผิวด้านล่างของ reactor มาจนถึงด้านบนของ ball valve นั้น จะเป็นมุมอับถ้าหาก ball valve ปิด ทำให้ผงพอลิเมอร์ตกลงมาสะสมและอุดตันบริเวณดังกล่าวได้ การป้องกันการอุดตันทำได้โดยการใช้ตัวทำละลายอัดเข้าไปในบริเวณดังกล่าวให้มีการไหลของตัวทำละลายจากเหนือ ball valve เข้าไปใน reactor ท่อ flushing isobutane line ที่แสดงไว้ในรูปก็เข้าใจว่ามีไว้เพื่อการนี้

การเกิดอุบัติเหตุ (The Accident ในกรอบสีเขียว)

ในวันอาทิตย์ที่ ๒๒ ตุลาคม ผู้รับเหมาเข้ารับงานจัดการกับท่อระบายที่อุดตันจำนวน 3 ท่อจากทั้งหมด 6 ท่อ โดยก่อนหน้านี้พนักงานฝ่ายผลิตของโรงงานเองได้ทำการเตรียมระบบด้วยการปิด ball valve (Demco valve) และปลดท่ออากาศที่ใช้ปิด-เปิดวาล์วตัวนี้ และในวันอาทิตย์ก็ทำการจัดการไปได้ 1 ท่อโดยไม่มีปัญหาอะไร
  
ต่อมาในวันจันทร์ที่ ๒๓ ตุลาคม ผู้รับเหมาได้เริ่มงานกับท่อระบายท่อที่สอง โดยพบว่าหลังจากได้นำเอาสิ่งอุดตันออกมาแล้วยังมีสิ่งอุดตันบางส่วนค้างอยู่ที่ระยะประมาณ 30-45 cm ใต้ ball valve (Demco valve) ผู้รับเหมาคนหนึ่งจึงเดินทางไปยังห้องควบคุมเพื่อขอความช่วยเหลือจากพนักงานฝ่ายผลิต (แสดงว่ามีบางส่วนยังอยู่ที่หน้างาน) จากนั้นก็พบว่ามีไอจำนวนมากรั่วไหลออกมาจากท่อที่เปิดอยู่ ไฮโดรคาร์บอนจำนวน 36,890 kg รั่วออกมาในเวลาอันสั้นและจุดระเบิดขึ้นในเวลาเพียง 2 นาทีหลังการรั่วไหล และมีการระเบิดใหญ่อีกสองครั้งในเวลา 10 และ 15 นาทีถัดมาเมื่อถัง isobutane ขนาด 90,920 ลิตรระเบิด และตามด้วยการระเบิดครั้งใหญ่อีกครั้งเมื่อ loop reactor พังทลายลง

มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 23 ราย โดยผู้เสียชีวิตทั้งหมดอยู่ในรัศมี 75 เมตรจากจุดที่เกิดการรั่วไหลครั้งแรก

ในระหว่างการใช้งานนั้น isobutane เป็นของเหลวภายใต้ความดัน ดังนั้นเมื่อรั่วออกมาจึงกลายเป็นไอทันที แม้ว่า isobutane จะหนักกว่าอากาศ แต่เมื่อรั่วออกมาจากอุณหภูมิและความดันที่สูงกว่าอุณหภูมิและความดันบรรยากาศภายนอกไม่มาก จึงทำให้ isobutane ไม่ได้ฟุ้งกระจายหายไป แต่จะกลายเป็นหมอก isobutane ที่ผสมกับอากาศอย่างพอเหมาะปกคลุมที่พื้น และเมื่อหมอกผสมระหว่าง isobutane และอากาศนี้ไปพบกับแหล่งจุดระเบิด ก็จะทำให้หมอกนี้เกิดการระเบิดที่เรียกว่า Unconfined vapour cloud explosion ได้
  
เมื่อเกิดอุบัติเหตุเช่นนี้ สิ่งที่เขาต้องหาให้ได้ก็คือ "เกิดการรั่วไหลได้อย่างไร" (ส่วนจุดระเบิดได้อย่างไรไม่ค่อยเป็นปัญหา เพราะในโรงงานเองมีอะไรต่อมิอะไรสารพัดอย่างที่จะจุดระเบิดได้ถ้าเกิดการรั่วไหล) ตรงนี้มีหลักฐานที่ชี้ไปที่ ball valve (demco valve) ของท่อระบายที่กำลังแก้ปัญหาการอุดตัน เพราะปลายด้านหนึ่งของท่อนี้เปิดออกสู่ด้านนอก ตรงจุดนี้คาดว่าน่าจะมีการต่อท่ออากาศที่ใช้สำหรับปิด-เปิดวาล์วกลับเข้าไป และคงมีการต่อท่อสลับกัน คือต่อท่ออากาศสำหรับปิดวาล์วเข้ากับด้านรับอากาศเข้าเพื่อเปิดวาล์ว และต่อท่ออากาศสำหรับเปิดวาล์วเข้ากับด้านรับอากาศเข้าเพื่อปิดวาล์ว อันที่จริงในขณะนี้การไหลในท่ออากาศควรเป็นการควบคุมให้วาล์วปิด แต่เมื่อต่อท่อผิดโดยเอาท่อด้านสั่งปิดวาล์วไปต่อเข้ากับท่อรับอากาศเข้าเพื่อเปิดวาล์ว วาล์วก็เลยเปิดออก ทำให้เกิดการรั่วไหลออกมา

สิ่งแวดล้อม (The Environment ในกรอบสีส้ม)

ในหัวข้อนี้มีการพูดถึงสองเรื่องคือแร่ใยหิน (asbestos) และแหล่งกำเนิดรังสี (radiation source) อีก 24 แหล่ง
  
แร่ใยหินเป็นส่วนประกอบสำคัญของฉนวนความร้อนและปะเก็นกันการรั่วซึม เนื่องจากทนอุณหภูมิสูงและเฉื่อยต่อสารเคมี แต่เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น ฉนวนความร้อนน่าจะเป็นแหล่งที่ใหญ่ที่มีโอกาสมากที่สุดที่จะกระจายแร่ใยหินออกมา
  
ส่วนแหล่งกำเนิดรังสีนั้นในอุตสาหกรรมมีการใช้ในการวัดระดับของแข็ง/ของเหลวที่บรรจุอยู่ในถัง ด้วยการยิงรังสีเฉียงจากบนลงล่าง (ของแข็งและของเหลวดูดกลืนรังสีได้มากกว่าแก๊ส เมื่อระดับของแข็ง/ของเหลวในถังเปลี่ยนไป การดูดกลืนรังสีก็เปลี่ยนไป) และอัตราการไหล (เช่น slurry ที่มีของแข็งแขวนลอยไม่เท่ากัน จะดูดกลืนรังสีแตกต่างกัน)

การสอบสวน (The Investigation ในกรอบสีน้ำเงิน)

ตรงประเด็นนี้รายงานการสอบสวนได้ชี้ให้เห็นข้อบกพร่องต่าง ๆ ในการออกแบบดังนี้

๑. ตัวอุปกรณ์ที่ใช้หมุนวาล์วให้ปิด-เปิดนั้น (acutator) ไม่มีอุปกรณ์สำหรับล็อคไม่ให้ขยับตัวได้ 
   
ประเด็นตรงจุดนี้อยู่ที่ ถ้าหากทำการล๊อคตัว acutator ไม่ให้ขยับตัวได้ เมื่อมีการต่อท่ออากาศกลับเข้าไป ไม่ว่าจะต่อถูกหรือต่อผิดก็ตาม ไม่ว่าท่ออากาศนั้นจะมีอากาศไหลอยู่หรือไม่ก็ตาม acutator ก็จะไม่ขยับตัว วาล์วก็จะไม่ขยับตัว
 
ระบบปิด-เปิดวาล์วตัวปัญหานั้นของจริงเป็นยังไงผมก็ไม่รู้ แต่ขอยกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงในรูปที่ ๓ ในรูปนี้จะมีเฟือง (สีฟ้า) ที่มีเพลา (สีเหลือง) ต่ออยู่กับตัวลูกบอลของวาล์ว ตัวเฟืองสีฟ้านี้หมุนได้ด้วยการเคลื่อนที่ของก้าน (สีส้ม) ที่มีฟันเฟืองขบอยู่กับฟันเฟืองของเฟืองหมุนลูกบอล ก้านหมุนเฟืองนี้เคลื่อนตัวไปทางซ้ายหรือขวาได้ด้วยแรงดันอากาศในกระบอกสูบ ดังเช่นในรูปถ้าป้อนอากาศเข้าทาง "ช่องอากาศเข้า ๑" ก้านหมุนเฟืองก็จะเคลื่อนตัวไปทางขวา เฟืองหมุนลูกบอลก็จะหมุนในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา (สมมุติว่าเป็นการเปิดวาล์ว) ถ้าป้อนอากาศเข้าทาง "ช่องอากาศเข้า ๒" ก้านหมุนเฟืองก็จะเคลื่อนตัวไปทางซ้าย เฟืองหมุนลูกบอลก็จะหมุนในทิศทางตามเข็มนาฬิกา (สมมุติว่าเป็นการปิดวาล์ว) ถ้าหากสามารถล็อคให้ก้านหมุนวาล์วอยู่กับที่ได้ เมื่อมีแรงดันอากาศเข้ามาไม่ว่าจะทางช่องอากาศเข้า ๑ หรือช่องอากาศเข้า ๒ ก้านหมุนวาล์วก็จะไม่ขยับตัว

๒. ท่ออากาศที่ใช้ควบคุมให้ ball valve ปิดหรือเปิดนั้น เมื่อถอดออกมาแล้วก็สามารถใส่คืนกลับเข้าไปเมื่อใดก็ได้ โดยใครก็ได้ที่อยู่แถวนั้น

๓. ข้อต่อสำหรับต่อท่ออากาศด้านรับอากาศเข้าเพื่อเปิดวาล์วและด้านรับอากาศเข้าเพื่อปิดวาล์ว เป็นข้อต่อแบบเดียวกัน ทำให้ใส่สลับกันได้
  
ลองกลับไปดูรูปที่ ๓ ใหม่ ถ้าหากต่อท่อป้อนอากาศเข้าช่องอากาศเข้า ๑ และช่องอากาศเข้า ๒ สลับกัน เวลาสั่งปิดวาล์ว วาล์วจะเปิด เวลาสั่งเปิดวาล์ว วาล์วจะปิด ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้มีโอกาสที่จะต่อท่อป้อนอากาศเข้าช่องอากาศเข้า ๑ และช่องอากาศเข้า ๒ สลับกันได้ ก็ควรให้ช่องอากาศเข้า ๑ และช่องอากาศเข้า ๒ มีข้อต่อที่แตกต่างกัน เช่นให้ฝั่งช่องอากาศเข้า ๑ เป็นข้อต่อตัวผู้ ฝั่งช่องอากาศเข้า ๒ เป็นข้อต่อตัวเมีย เป็นต้น

๔. วาล์วที่ป้อนอากาศเข้าท่ออากาศควบคุมการปิด-เปิด ball valve นั้นเปิดค้างอยู่ ดังนั้นเมื่อต่อท่ออากาศเข้าไป ball valve ก็จะทำงานทันที

๕. ตัว ball valve เองนั้นสามารถล็อคให้ค้างอยู่ที่ตำแหน่งเปิดหรือปิดก็ได้
 
โดยปรกติในการซ่อมบำรุงนั้น เมื่อทำการปิดวาล์วแล้ว ผู้ปฏิบัติงานจะต้องทำให้วาล์วตัวนั้นเปิดไม่ได้ วิธีการหนึ่งที่ใช้กันก็คือการใช้โซ่คล้องและใช้แม่กุญแจล็อคโซ่นั้นเอาไว้ โดยตัวผู้ปฏิบัติงานจะเป็นผู้ถือลูกกุญแจเอาไว้จนกว่าจะเสร็จสิ้นการซ่อมบำรุง ในกรณีที่ต้องการให้วาล์วค้างอยู่ในตำแหน่งปิดได้เพียงอย่างเดียว วาล์วตัวนั้นไม่ควรที่จะสามารถล็อคให้ค้างอยู่ในตำแหน่งเปิดได้

๖. การออกแบบผังโรงงานนั้น มีส่วนอาคารที่มีผู้คนทำงานอยู่มาก อยู่ใกล้กับบริเวณที่มีความเสี่ยงสูงในการเกิดอันตราย 
  
ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือกรณีการระเบิดของโรงงานที่เมือง Flixborough ประเทศอังกฤษ ที่เคยเล่าไว้ใน Memoir ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๑๑๓ วันศุกร์ที่ ๕ กุมภาพันธ์ พ.. ๒๕๕๓ เรื่อง "Flixborough explosion"

เหตุการณ์การระเบิดของบริษัท Phillips ครั้งนี้มีสาเหตุเริ่มจากท่อระบายพอลิเมอร์ออกจาก reactor เกิดการอุดตัน ทำให้ต้องมีการ isolate ท่อเส้นดังกล่าวและไปใช้ท่อสำรองแทน แต่เกิดความผิดพลาดในขณะทำการกำจัดสิ่งอุดตันออกจากท่อที่เกิดจากอุดตัน จนทำให้เกิดการรั่วไหลของแก๊สออกจาก reactor ตามด้วยการระเบิดที่รุนแรง ที่น่าสนใจก็คือในกรณีของเหตุการณ์นี้มีการสืบสวนอย่างเป็นทางการ มีรายงานเผยแพร่ออกสู่สาธารณะ มีเนื้อหามากพอที่จะนำมาเป็นบทเรียนให้กับผู้เรียนทางวิศวกรรมเคมีได้
  
แต่ที่น่าเศร้าใจก็คือกรณีเช่นนี้ก็เคยมีการเกิดขึ้นในประเทศไทยก่อนหน้าอุบัติเหตุที่บริษัท Phillips เพียงแค่ ๑๐ เดือนเศษ (เกิดในเดือนธันวาคม พ.. ๒๕๓๑) โดยมีสาเหตุจากท่อระบายพอลิเมอร์ออกจาก reactor เกิดการอุดตันเช่นกัน ทำให้ต้องมีการ isolate ท่อเส้นดังกล่าวและไปใช้ท่อสำรองแทน แต่เกิดความผิดพลาดในขณะทำการกำจัดสิ่งอุดตันออกจากท่อที่เกิดจากอุดตัน จนทำให้เกิดการรั่วไหลของแก๊สออกจาก reactor ตามด้วยการระเบิดที่รุนแรง แต่กรณีของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยนั้นดูเหมือนจะไม่มีรายงานการสอบสวนอย่างเป็นทางการใด ๆ ออกมา เป็นแต่เรื่องที่พูดคุยกันระหว่างผู้ที่อยู่ในวงการและโตพอที่จะจำเหตุการณ์ดังกล่าวได้ ผมเองก็เพิ่งจะได้รับทราบสาเหตุของการรั่วไหลของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองไทยหลังจากเหตุการณ์ผ่านไป ๒๔ ปี ๖ เดือน ทราบจากปากคำของผู้เล่าว่าเป็นข้อมูลที่ใช้กันภายใน ไม่เผยแพร่ออกสู่สาธารณะ (แต่ใช้ฝึกอบรมพนักงานเข้าใหม่ทุกคนด้วยหรือไม่นั้นผมไม่ทราบได้)

เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองไทยในปีพ.ศ. ๒๕๓๑ คือเรื่องใดนั้น ถ้าสนใจก็ย้อนไปอ่านได้ใน Memoir ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๖๔๓ วันศุกร์ที่ ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เรื่อง "สาเหตุที่แก๊สรั่วออกจาก polymerisation reactor" แล้วก็จะทราบเอง.
 
รูปที่ ๑ ปกหน้าของหนังสือเรื่อง "Electrical and instrumentation safety for chemical processes" เขียนโดย Richard J. Buschart จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ van Norstrand Reinhold, New York ปีค.ศ. 1991 ภาพฉากหลังคือภาพที่ขยายจากกรอบสีเหลือง



รูปที่ ๒ ภาพขยายของกรอบเล็กในรูปที่ ๑ บริเวณโครงสร้างสูงทางด้านซ้ายบนนั้นคาดว่าเป็นส่วนของ loop reactor

รูปที่ ๓ ตัวอย่างกลไกการปิด-เปิด ball valve ด้วยแรงดันอากาศ




ไม่มีความคิดเห็น: