วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

สุดทางรถไฟที่ ละอุ่น ระนอง (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๗๗) MO Memoir : Thursday 3 July 2557


ในยุคของการล่าอาณานิคมนั้น ทำเลที่ตั้งของประเทศไทยจัดได้ว่าขวางการเดินทางทางบกของอาณานิคมของชาติมหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางจากพม่าเข้าสู่จีน (ตัดเข้าไทยก่อนแล้วออกทางลาว จากนั้นจึงค่อยเข้าจีนตอนใต้ จะง่ายกว่าผ่านทางเหนือของพม่าเข้าจีนด้านตะวันตกเฉียงใต้ที่ต้องผ่านภูมิประเทศที่เป็นภูเขาที่สูงมากกว่า) หรือระหว่างมลายูกับพม่า หรือระหว่างพม่ากับอินโดจีนฝรั่งเศส และนี่เป็นปัจจัยหนึ่งในยุคนั้นที่กดดันให้ไทยต้องมีเส้นทางรถไฟ ซึ่งข้อสรุปสุดท้ายที่ได้ก็คือทางไทยจะเป็นคนลงทุนสร้างและควบคุมทางรถไฟดังกล่าวด้วยตนเอง

รูปที่ ๑ หัวรถจักรที่จอดอยู่ที่ริมคลองละอุ่น อำเภอละอุ่น จังหวัดระนอง ณ สถานที่ที่เคยเป็นจุดถ่ายสิ่งของลงเรือ ก่อนนำส่งต่อไปให้กับกองทัพญี่ปุ่นในพม่า

ยังมีเส้นทางเส้นสั้น ๆ อยู่เส้นหนึ่ง ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นโครงการรถไฟโครงการแรกที่มีการขอก่อสร้างในประเทศไทย นั่นคือเส้นทางรถไฟข้ามคอคอดกระระหว่างระนองกับชุมพร ซึ่งจะช่วยย่นระยะการเดินทางทางเรือที่ต้องอ้อมผ่านแหลมมลายู ในหนังสือของ Ichiro Kakizaki กล่าวว่าแผนการสร้างทางรถไฟเชื่อมสองฝั่งของคอคอดกระนี้มีการนำเสนอต่อรัชกาลที่ ๔ โดยชาวอังกฤษผู้หนึ่งในปีค.ศ. ๑๘๕๙ (พ.ศ. ๒๔๐๒) แต่ท้ายสุดเส้นทางนี้ก็ไม่ได้รับการก่อสร้างแต่อย่างใด จวบจนกระทั่งช่วงกลางของสงครามโลกครั้งที่สอง ที่กองทัพญี่ปุ่นตัดสินใจสร้างเส้นทางดังกล่าว เพื่อเป็นทางเลือกในการขนส่งเสบียงและยุทธภัณฑ์ไปให้กับกองทัพในพม่า นอกเหนือจากเส้นทางรถไฟที่เชื่อมต่อระหว่างไทยกับพม่าผ่านทางจังหวัดกาญจนบุรี

รูปที่ ๒ ป้ายบอกข้อมูลการก่อสร้างและแนวทางรถไฟ


รูปที่ ๓ บทความของ David Baggott กล่าวว่าหัวรถจักรที่ตั้งอยู่ที่ริมคลองละอุ่น (รูปที่ ๑) นั้น ไม่ใช่หัวรถจักรที่ใช้ในเส้นทางดังกล่าวในเวลานั้น แต่เป็นหัวรถจักรรุ่นเดียวกัน หัวรถจักรที่ตั้งอยู่ปัจจุบันนั้นได้รับมาเมื่อปีค.ศ. ๑๙๔๗ (พ.ศ. ๒๔๙๐) หรือหลังสงครามสงบไปแล้ว ๒ ปี (บทความนี้ตีพิมพ์ใน Journal of Kyoto Seika Universiyt No. 27)

เส้นทางสายนี้ไม่ค่อยได้รับความสนใจจากนักประวัติศาสตร์เท่าใดนัก อาจเป็นเพราะว่าไม่ได้ใช้แรงงานเชลยศึกในการสร้าง แต่ใช้กรรมกร (ที่มีทั้งว่าจ้างและเกณฑ์) ในการก่อสร้าง เส้นทางรถไฟเส้นนี้เริ่มสร้างในเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๖ (ค.ศ. ๑๙๔๓) และเสร็จเมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ในปีเดียวกัน หรือเสร็จหลังจากเส้นทางรถไฟสายมรณะที่ผ่านทางกาญจนบุรีเพียง ๒ เดือน เส้นทางรถไฟชุมพร-ระนองนี้มีความยาวทั้งสิ้น ๙๑ กิโลเมตร สาเหตุที่ทำให้สร้างเส้นทางนี้ได้เร็วอาจเป็นเพราะสร้างขนานไปกับแนวถนนที่เชื่อมระหว่างจังหวัดชุมพรกับจังหวัดระนองที่มีอยู่แล้วในขณะนั้น (ถนนเพชรเกษมในปัจจุบัน) ไม่เหมือนเส้นทางกาญจนบุรีที่เป็นเส้นทางบุกเบิกใหม่ผ่านป่าเขา
  
สัมภาระต่าง ๆ ที่กองทัพญี่ปุ่นขนมาทางเรือนั้น จะนำมาขึ้นบกที่ท่าเรือชุมพร จากนั้นจึงถ่ายสู่รถไฟเพื่อลำเลียงไปยังละอุ่น ก่อนถ่ายลงเรืออีกครั้ง เพื่อลำเลียงส่งต่อไปยังกองทัพในพม่า เส้นทางสายนี้ก็เป็นเป้าหมายหนึ่งของการโจมตีทางอากาศจากสัมพันธมิตรในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เรื่องนี้เคยเล่าเอาไว้ใน Memoir ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๗๘๕ วันเสาร์ที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๗ เรื่อง "การทิ้งระเบิดเส้นทางรถไฟไปจังหวัดระนอง(ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำตอนที่ ๖๒)"


รูปที่ ๔ (บน) ภาพด้านหน้าของหัวรถจักร


รูปที่ ๕ ภาพมองจากด้านหลัง
ละอุ่นเป็นอำเภอเล็ก ๆ ของจังหวัดระนอง ถ้าขับรถมาจากชุมพร ก่อนถึงตัวเมืองระนองประมาณ ๒๐ กิโลเมตร พอข้ามคลองละอุ่น จะมีทางแยกซ้ายมือคือถนนสาย ๔๐๙๑ เข้าไปอีกประมาณ ๑๐ กิโลเมตรก็จะถึงตัวอำเภอ ทางเข้าจุดที่เคยเป็นปลายทางรถไฟนั้นจะอยู่ทางซ้ายมือ ก่อนข้ามสะพานข้ามคลอง เลี้ยวเข้าไปไม่ไกลก็จะไปพบกับหัวรถจักรจอดนิ่งอยู่หัวหนึ่ง ในเดือนพฤษภาคมที่ผมไปนั้น มีหลังคาคลุมแล้ว (รูปที่ ๑) แต่ก่อนหน้านี้ก็จอดตากแดดตากฝนไปวัน ๆ (รูปที่ ๓)


รูปที่ ๖ ภาพจากด้านหลังอีกฟากหนึ่งของหัวรถจักร


รูปที่ ๗ ภาพด้านข้าง

รูปที่ ๘ ภาพจากบทความของ David Baggott กล่าวว่าเป็นภาพวาดการลำเลียงสิ่งของจากรถไฟลงเรือ ณ บริเวณท่าเทียบเรือในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ในภาพนี้แนวเส้นทางรถไฟอยู่ทางด้านขวาของรูป ที่เห็นเป็นเนินเขาด้านบนคือเขาฝาชี


รูปที่ ๙ คลองละอุ่น น่าจะเป็นบริเวณเดียวกับภาพวาดในรูปที่ ๘ สะพานที่เห็นอยู่ไกล ๆ คือสะพานข้ามคลองของถนนเพชรเกษม ซึ่งในขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการขยายถนนและก่อสร้างสะพานใหม่

รูปที่ ๑๐ ฝั่งตรงข้ามกับสถานีรถไฟ ที่ตั้งอำเภอละอุ่นอยู่ทางฟากนั้น

ในช่วงท้ายสงคราม ในขณะที่กองทัพญี่ปุ่นกำลังถอยร่นอยู่ในพม่านั้น กองทัพญี่ปุ่นเกรงว่าอังกฤษอาจใช้เส้นทางรถไฟดังกล่าวในการลำเลียงพลข้ามคอคอดกระมายังฟากอ่าวไทยได้ ซึ่งจะเป็นการตัดการเชื่อมต่อระหว่างกองทัพญี่ปุ่นในประเทศไทยและในมลายู ประกอบกับเส้นทางดังกล่าวได้รับความเสียหายจากการโจมตีทางอากาศ จึงได้เริ่มดำเนินการรื้อถอนเส้นทางดังกล่าว แต่สงครามก็ยุติก่อนการรื้อถอนจะสิ้นสุด อายุการใช้งานของเส้นทางรถไฟสายนี้จึงมีเพียงแค่ ๑ ปีกับอีก ๖ เดือนเท่านั้นเอง

หัวรถจักรที่จอดอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ถูกยกมาตั้งเมื่อใดก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ไม่น่าจะแล่นมาเองจากชุมพร เพราะในเวลาที่ได้หัวรถจักรนี้มานั้น เส้นทางดังกล่าวได้ถูกรื้อทิ้งไปแล้ว (รูปที่ ๓) สภาพหัวรถจักรนั้นก็ชำรุดทรุดโทรมเหมือนกับไม่เคยได้รับการดูแล ถ้าดูเทียบรูปที่ ๓ ที่ไม่รู้เหมือนกันว่าถ่ายมาเมื่อใด ยังมีคำว่า ร.ฟ.ท. ปรากฏให้เห็นอยู่ แต่ตอนนี้มันหายไปแล้ว เหลือแต่ตัวเลข 962 ที่ยังปรากฏให้เห็น สภาพภายในก็พุพังไปตามกาลเวลา

ท้ายสุดนี้ก็ต้องขอแสดงความยินดีกับมหาบัณฑิตทั้ง ๔ คนที่เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรในช่วงบ่ายวันนี้ และ Memoir ฉบับนี้ก็จะเป็นฉบับสุดท้ายที่จัดส่งให้ทางอีเมล์กับทั้ง ๔ คน ก็ขอให้ทุกคนประสบแต่ความสุขในชีวิต ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน และเป็นที่รักของคนทั่วไป ก็แล้วกัน

เอกสารประกอบการเขียน
๑. Ichiro Kakizaki, "Rails of the Kingdom : The History of Thai Railways", White Lotus, 2012.
๒. พวงทิพย์ เกียรติสหกุล, "ทางรถไฟสายใต้ในเงาอาทิตย์อุทัย", หนังสือในโครงการตำราและหนังสือคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, พิมพ์ครั้งที่ ๑ ปีพ.ศ. ๒๕๕๔.
๓. David Baggott, "Notes on the Thai-Burma railway : Part IX : The Kra Isthmus Railway", บทความนี้ตีพิมพ์ใน Journal of Kyoto Seika Universiyt No. 27


ไม่มีความคิดเห็น: