วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เส้นทางรถไฟเชื่อมไทยกับพม่า (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำ ตอนที่ ๘๖) MO Memoir 2558 Feb 4 Wed

ในหน้า ๕๐ ของหนังสือ "Rails of the Kingdom : The History of Thai Railways" เขียนโดย Ichiro Kakizaki (สำนักพิมพ์ White Lotus ปีพ.ศ. ๒๕๕๕) ได้กล่าวถึงแนวความคิดของการเชื่อมต่อทางรถไฟระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านจากพระดำรัสของกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ณ สโมสรโรตารี่กรุงเทพในระหว่างงานเลี้ยงอาหารเย็นในปีค.ศ. ๑๙๒๖ ในหัวข้อ "In the Palm of Prince Kamphaengphet's Hand (ในอุ้งพระหัตถ์ของกรมพระกำแพง ฯ)" ว่า ท่านมีความตั้งใจที่จะให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายรถไฟในย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเปรียบเสมือนแขนของท่านเป็นเส้นทางรถไฟสายใต้ (ที่เชื่อมเข้ากับมาเลเซีย) นิ้วหัวแม่มือคือเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างไทยกับพม่า นิ้วชี้คือเส้นทางสายเหนือ นิ้วกลางคือเส้นทางสายขอนแก่น (ที่จะเชื่อมเข้ากับลาวและต่อไปยังจีน) นิ้วนางคือเส้นทางสายอุบลราชธานี และนิ้วก้อยคือเส้นทางสายตะวันออก (ที่จะเชื่อมเข้ากับกัมพูชา)
  
รูปที่ ๑ ในหน้าถัดไปนั้นนำมาจากหน้า ๕๑ ของหนังสือของ Ichiro Kakizaki เป็นแผนที่เส้นทางรถไฟของประเทศไทยในปีค.ศ. ๑๙๒๕ (พ.ศ. ๒๔๖๘) จะเห็นว่าเส้นทางสายใต้นั้นเชื่อมต่อเข้ากับมาเลเซียแล้ว ส่วนเส้นทางสายเหนือก็ไปถึงเชียงใหม่ เส้นทางสายตะวันออกก็ไปสิ้นสุดที่พรมแดนอรัญประเทศ ส่วนสายอีสานก็มีแผนที่เชื่อมต่อไปยังลาวและเวียดนาม (ในขณะนั้นอยู่ในการปกครองของฝรั่งเศส) แผนที่ดังกล่าวยังแสดงเส้นทางรถไฟสายพระพุทธบาท (สระบุรี) เส้นทางรถไฟสายบางบัวทอง เส้นทางรถไฟสายปากน้ำ และเส้นทางรถไฟสายแม่กลอง
  
ที่น่าสนใจก็คือเส้นทางรถไฟที่จะเชื่อมต่อกับประเทศพม่านั้นมีการพิจารณาอยู่ ๓ ตำแหน่งด้วยกัน คือผ่านทางด้านอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ผ่านทางด้านด่านเจดีย์สามองค์ จังหวัดกาญจนบุรี และผ่านทางด้านด่านสิงขร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งแต่ละเส้นทางนั้นต่างก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน และผู้ที่ประสงค์อยากได้เส้นทางนี้มากที่สุดก็คืออังกฤษ เพื่อที่จะได้เชื่อมต่อการคมนาคมทางบกระหว่างประเทศอาณานิคมของตัวเองจากอินเดียไปจนถึงปลายคาบสมุทรมลายู
  
ก่อนอื่นควรที่จะพึงระลึกว่าในช่วงเวลานั้น (หลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ สิ้นสุดไม่นาน) แม้ว่าลัทธิการล่าอาณานิคมจะแผ่วลงไปบ้าง แต่ก็ยังไม่หมดสิ้นไป ผลจากสงครามในยุโรปทำให้ประเทศมหาอำนาจในยุโรปต้องหาทรัพยากรไปจุนเจือความเสียหายที่เกิดขึ้น แม้ว่าประเทศไทยเองจะเลือกอยู่ข้างฝ่ายที่ชนะสงคราม แต่บทบาทของประเทศไทยในสงครามโลกครั้งที่ ๑ ก็ไม่ได้มีอะไรมากนัก (เมื่อเทียบกับขนาดของสงคราม)
ในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สองนั้น การกำหนดแนวเส้นทางรถไฟ (และขนาดความกว้างของราง) ไม่เพียงแต่ต้องคำนึงถึงผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ แต่ยังต้องคำนึงถึงความมั่นคงของประเทศด้วย เพราะในยุคสมัยนั้นเส้นทางถนนยังไม่ดีนัก การเคลื่อนย้ายทหาร สัมภาระ และยุทโธปกรณ์จำนวนมาก (เห็นได้ชัดในยุโรปช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒) ยังต้องอาศัยเส้นทางรถไฟเป็นหลัก

เส้นทางเชื่อมพม่าผ่านทางด้าน อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก นั้นมีจุดเด่นก็คือ ทางฝั่งพม่าเอง (ตอนนั้นยังคงอยู่ในการปกครองของอังกฤษ) ไม่จำเป็นต้องวางรางเพิ่มเป็นระยะทางยาว ส่วนทางฝั่งไทยนั้นแม้ว่าจะต้องวางรางเพิ่มเป็นระยะทางยาวหน่อย ต่อจากสวรรคโลกผ่านสุโขทัย เข้าตาก และไปที่แม่สอด แต่เส้นทางสายนี้ก็เป็นเส้นทางเศรษฐกิจ (คือคาดว่าเมื่อลงทุนไปแล้วจะมีการใช้เส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือผู้โดยสาร) แต่สำหรับอังกฤษแล้วเส้นทางนี้มีข้อเสียก็คือเป็นเส้นทางที่อ้อม และยังต้องเดินทางผ่านกรุงเทพอีก

รูปที่ ๑ แผนที่เส้นทางรถไฟของไทยในปีค.ศ. ๑๙๒๕ (พ.ศ. ๒๔๖๘) จากหน้า ๕๑ ของหนังสือของ Ichiro Kakizaki)
  
แนวเส้นทางที่แยกจากจังหวัดราชบุรีผ่านทางกาญจนบุรีนั้นเป็นเส้นทางที่ลัดกว่าสำหรับอังกฤษในการเดินทางจากพม่าลงไปยังคาบสมุทรมลายู (อังกฤษไม่สนด้านกัมพูชาและลาว เพราะนั่นเป็นเขตอิทธิพลของฝรั่งเศส ทั้งทางฝั่งพม่าและทางฝั่งไทยเองก็ต้องมีการวางรางเพิ่ม สำหรับไทยเองนั้นเส้นทางนี้ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อเสียก็คือเส้นทางจากช่วงราชบุรีไปยังกาญจนบุรีนั้นไม่ค่อยมีผู้คนอยู่อาศัยและมีการลำเลียงสินค้าใด ๆ คงจะทำรายได้จากการขนส่งผู้คนและสินค้าในช่วงเส้นทางดังกล่าวได้ไม่มาก (เห็นได้ชัดในปัจจุบัน ที่เส้นทางดังกล่าวอยู่ได้ก็เพราะการท่องเที่ยว) แต่จะมีข้อได้เปรียบตรงที่เป็นเส้นทางที่สั้นในการเชื่อมต่อระหว่าง พม่า ไปยังกัมพูชา และเวียดนาม
  
ณ จุดนี้คงจะพอทำให้เห็นภาพแล้วว่าทำไมในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ กองทัพญี่ปุ่นถึงได้ตัดสินใจสร้างเส้นทางรถไฟเข้าพม่าทางด้านนี้ เพราะก่อนหน้านั้นหลังจากสงครามอินโดจีนที่ไทยรบกับฝรั่งเศส ญี่ปุ่นเองก็ได้ส่งกองทัพเข้ามาประจำการในย่านอินโดจีนฝรั่งเศส (คือ เวียดนาม ลาว และกัมพูชา) ทำนองว่าเพื่อให้ฝรั่งเศสสบายใจว่าไม่ได้เสียเมืองขึ้นให้กับประเทศไทย และทำให้ไทยรู้สึกสบายใจว่าได้ไล่ฝรั่งเศสออกไป นอกจากนี้เมื่อเริ่มสงครามแล้วทางกองทัพญี่ปุ่นก็ยังต้องการใช้ท่าเรือของไทย (โดยเฉพาะที่คลองเตย) ในการส่งกองหนุนและเสบียงให้กับกองทัพที่รบในพม่า และเส้นทางเส้นนี้ก็เป็นเส้นทางที่สั้นที่สุดในการตัดผ่านประเทศไทยมุ่งเข้าสู่ใจกลางประเทศพม่า

จุดเชื่อมต่อสุดท้ายคือผ่านด่านสิงขรที่ประจวบคีรีขันธ์ ทางฝั่งอังกฤษนั้นแม้ว่าแนวเส้นทางนี้จะทำให้อังกฤษมุ่งลงสู่คาบสมุทรมลายูได้โดยตรง แต่ก็ต้องวางรางเพิ่มเป็นระยะทางยาว (พูดง่าย ๆ คืออังกฤษต้องแบกรับค่าใช้จ่ายในการเชื่อมต่อมากกว่าทางฝั่งไทยมาก) ส่วนทางฝั่งไทยเองแม้ว่าเส้นทางนี้ไทยจะเสียค่าใช้จ่ายในการวางรางน้อยที่สุด (เพราะเป็นบริเวณที่แคบที่สุดของประเทศ) แต่ถ้าพิจารณาในการเดินทางในแนวตะวันออก-ตะวันตก (กัมพูชาไปพม่า) เส้นทางนี้จะเป็นเส้นทางที่อ้อม เพราะต้องมีการวกลงใต้มายังประจวบคีรีขันธ์ก่อนวิ่งวนขึ้นเหนืออีกครั้ง นอกจากนี้ไทยยังต้องคำนึงถึงเรื่องความมั่นคงของประเทศด้วย ซึ่งเรื่องนี้ พลตรีพระยาอาณุภาพไตรภพบันทึกเข้าไว้ในประวัติของท่านในหน้า ๘๔-๘๖ (ที่มีการตีพิมพ์ในหนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพของท่านเมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๔) ดังที่คัดลอกมาให้ดูว่าทำไมในเวลานั้นท่านจึงคัดค้านการสร้างเส้นทางสายนี้

เรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่พลตรีพระยาอาณุภาพไตรภพได้บันทึกไว้ในประวัติของท่าน ผมเคยเอามาเล่าไว้ใน Memoir ก่อนหน้านี้ ๓ ฉบับดังนี้
ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๕๖๔ วันพุธที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๖ เรื่อง “กระสุนSiamesetype 66 (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำตอนที่ ๓๔)
ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๕๖๕ วันศุกร์ที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๖ เรื่อง “รถไฟเล็กลากไม้สายตะวันออก(ศรีราชา)ภาค๕ (ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำตอนที่ ๓๕)
ปีที่ ๖ ฉบับที่ ๗๗๙ วันจันทร์ที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๗ เรื่อง “ข้ามบางปะกงที่ท่าข้าม(ก่อนจะเลือนหายไปจากความทรงจำตอนที่ ๖๐)

ในช่วงเวลาก่อนหน้านั้นชาติมหาอำนาจต่าง ๆ ได้ใช้วิธีบีบบังคับให้ประเทศต่าง ๆ เปิดประเทศเพื่อให้ชาติมหาอำนาจเหล่านั้นเข้าไปหาผลประโยชน์ และถ้ามีโอกาส (เช่นมีการต่อต้านของคนในประเทศนั้น) ก็จะใช้โอกาสนั้นส่งกองทัพบุกเข้าไปในประเทศนั้นโดยอ้างว่าเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตน (ตอนนี้ก็ยังมีการทำกันอยู่ให้เห็น) และในขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะใช้นโยบาย “ป้องกันตนเอง” ด้วยการ “บุกเข้าโจมตีประเทศอื่น” โดยอ้างว่าประเทศนั้นเตรียมการที่จะรุกราน (ตอนนี้ก็ยังมีการทำกันอยู่ให้เห็น) เช่นกรณีของเยอรมันบุกรัสเซียในสงครามโลกครั้งที่ ๒ การกล่าวหาว่ามีการเตรียมการที่จะรุกรานอ้างได้ตั้งแต่กล่าวหาว่ามีการวางแผน การวางกองทัพเข้าใกล้ และการสร้างเส้นทางสำหรับการขนส่ง
  
เมื่อไทยเริ่มสร้างทางรถไฟไปโคราชและต่อไปยังสายเหนือนั้น ไทยใช้รางขนาดความกว้างมาตรฐานคือ 1.435 เมตร (หรือที่เรียกว่า standard gauge) แต่เมื่อจะก่อสร้างทางรถไฟสายใต้นั้นไทยใช้รางขนาดความกว้าง 1.000 เมตร (หรือที่เรียกว่า metre gauge) ซึ่งเป็นความกว้างขนาดเดียวกันกับที่อังกฤษใช้ในคาบสมุทรมาลายูและพม่า ตรงนี้เห็นมีบางคนกล่าวว่าไทยโดยอังกฤษวางยาให้ต้องวางรางกว้างขนาด 1.000 เมตรเพื่อที่อังกฤษจะได้ใช้ประโยชน์ในการใช้เส้นทางรถไฟของไทยเป็นทางเชื่อมคาบสมุทรมลายาเข้ากับพม่า แต่ Ichiro Kakizaki ได้วิเคราะห์ไว้ในหนังสือของเขาว่าการตัดสินใจของไทยตรงนี้น่าจะเป็นประเด็นด้านเศรษฐกิจมากกว่า เพราะการวางรางกว้าง 1.000 เมตรนั้นเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการวางรางกว้าง 1.435 เมตร (ต้องไม่ลืมว่าช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ หรือค.ศ. ๑๙๑๙ เป็นช่วงที่เศรษฐกิจกำลังตกต่ำทั้งโลก) ไทยเองก็ไม่มีทุนพอที่จะสร้าง ต้องกู้ต่างประเทศซึ่งในขณะนั้นก็มีอังกฤษที่ให้กู้ และในขณะเดียวกันไทยเองก็มีการพิจารณาประโยชน์ด้านการพาณิชย์ที่จะได้จากค้ายางพาราและการทำเหมืองแร่ดีบุกที่กำลังแพร่หลายอยู่ในภาคใต้ในขณะนั้นด้วย
  
เส้นทางรถไฟเชื่อมต่อระหว่างไทยกับพม่าที่อังกฤษเคยคาดหวังให้เกิดขึ้นนั้น ในที่สุดก็เกิดขึ้นจริงจากการก่อสร้างด้วยแรงงานเชลยศึกชาวอังกฤษ เนเธอร์แลนด์ (ที่เข้ามาปกครองเมืองที่มายึดเป็นอาณานิคม) และออสเตรเลีย (ในฐานะประเทศเครือจักรภพที่ร่วมรบเพื่อผลประโยชน์ร่วมกับอังกฤษ) โดยใช้เส้นทางผ่านทางจังหวัดกาญจนบุรี ออกด่านเจดีย์สามองค์ เข้าสู่ประเทศพม่า การที่กองทัพญี่ปุ่นสามารถสร้างเส้นทางสายนี้ได้อย่างรวดเร็วก็คงเป็นเพราะเคยมีการสำรวจความเป็นไปได้มาก่อนหน้าแล้ว แต่เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดเส้นทางดังกล่าวก็ถูกรื้อถอนทิ้งเนื่องจากพิจารณาแล้วว่ารายได้ที่จะเกิดขึ้นในเส้นทางสายนี้ไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในการดูแลรักษาเส้นทาง ที่ปัจจุบันยังคงอยู่ได้นั้นก็ด้วยอาศัยการท่องเที่ยวเป็นหลัก



 
การศึกษาประวัติศาสตร์นั้นไม่ควรที่จะใช้แต่ความรู้สึกนึกคิดหรือมุมมองของคนในปัจจุบันไปตัดสินการกระทำของคนในอดีต แต่ควรต้องกลับไปศึกษาด้วยว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นเป็นอย่างไร เพื่อที่จะได้เห็นประสบการณ์และมุมมองของผู้ที่ทำหน้าที่ตัดสินใจในเวลานั้น เพราะเมื่อเวลาผ่านไป สถานการณ์ต่าง ๆ ก็เปลี่ยนแปลงไป สิ่งที่เคยเหมาะสมในช่วงเวลาหนึ่งก็อาจจะไม่เหมาะสมสำหรับช่วงเวลาปัจจุบัน และในทำนองเดียวกันสิ่งที่ไม่เหมาะสมหรือเป็นที่วิตกกังวลในช่วงเวลานั้นก็อาจจะไม่เป็นปัญหาใด ๆ แล้วในช่วงเวลาปัจจุบัน

ไม่มีความคิดเห็น: